7 คำถามผิวขาวด้วย กลูต้าไธโอน
Q1: แอล–กลูต้าไธโอน ( L-Glutathione ) คืออะไร? A1: แอล–กลูต้าไธโอน เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เอง แต่มีปริมาณน้อย – น้อยมาก ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงสุขภาพและความงามของร่างกาย
Q1: แอล–กลูต้าไธโอน ( L-Glutathione ) คืออะไร? A1: แอล–กลูต้าไธโอน เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เอง แต่มีปริมาณน้อย – น้อยมาก ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงสุขภาพและความงามของร่างกาย
L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน)เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine (ซิสเทอีน) , Glycine (ไกลซีน) และ Glutamic acid (กลูตามิกแอซิต) พบมากที่ตับของมนุษย์
ดื่มน้ำน้อยและการไม่ชอบดื่มน้ำ นอกจากจะไม่ดีต่อสุขภาพ แล้ว การดื่มน้ำน้อยยังส่งผลเสียหลายอย่างต่อระบบร่างกายของเรา
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ
ถ้าเรารับน้ำเข้าไปไม่เพียงพอก็ถือว่าขาดน้ำ อวัยวะภายในจะรวนผิดปกติ เลือดจะข้น ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่าง ๆ หัวใจจะตีบตันเสียก่อน ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตัน ลำไส้จะแห้ง ทำให้ท้องผูก
เพราะภาวะสังคมที่รีบเร่ง คนทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์มักไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ชอบดื่มน้ำซึ่งจะทำให้ปัสสาวะบ่อย แต่ถ้าบอกว่า คนไข้โรคความจำเสื่อมเป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ ๆ ดื่มน้ำวัน ละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. ทำให้เลือดข้นไขมันสูง หมอส่วนใหญ่จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้ ทำให้เลือดใสแต่เหมือนการคนน้ำให้ตกตะกอน แต่ก็ยังต้องใช้น้ำนำพาตะกอนออกมาอยู่ดี มันจะได้ไม่กลับไปอุดตันเส้นเลือดเหมือนเดิม
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. (สำหรับผู้หญิง ) รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน
เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ ร่างกายก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น เป็นสิว ฝ้ากระ ฝี ริดสีดวง ถ้าเรามีอาการดังที่กล่าว อาจแสดงถึงว่าร่างกายมีของเน่าเสียอยู่ภายใน เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม การกินหรือฉีดยาไม่ใช่วิธีเดียวในการรักษาหรือบำบัดโรคให้หายไป ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ไขทีหลัง!
อธิบดีกรมสุขภาพ จิตแนะวิธีช่วยเพิ่มฮอร์โมนแห่งความสุข 5 ข้อ ให้ความรักแก่ตนเองและผู้อื่น ยอมรับตัวเราและผู้อื่น มองโลกตามความเป็นจริง เผยสัปดาห์สุขภาพ จิตแห่งชาติปีนี้ รณรงค์ร่วมกัน “ฮอร์โมนความสุข…สร้างได้ทุกวัย” ทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนและภาคีเครือข่ายรวมพลังกันสร้างความสุขให้แก่ ประชาชนทุกกลุ่มวัย
วิธีที่จะช่วยเพิ่มฮอร์โมนแห่งความสุข ให้เกิดขึ้น มีข้อปฏิบัติ 5 ข้อ คือ
1. ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ทั้ง 3 ตัว ได้แก่ ซีโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อความสุข ความมั่นคงทางอารมณ์ และช่วยป้องกันโรคซึมเศร้า เอ็นดอร์ฟิน ที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดี ลดความกังวลและความเจ็บปวด และโดปามีน ที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกสดชื่น กระฉับกระเฉง
2. รับประทานอาหาร จำพวกน้ำตาล ไขมัน และคอเลสเตอรอลในระดับที่พอเหมาะ นอกจากนี้การรับประทานอาหารโปรตีนที่มีส่วนประกอบของ ทริปโตเฟนในปริมาณมาก เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ปลา นม กล้วย ถั่วลิสง จะช่วยเพิ่มการหลั่งของซีโรโทนิน
3. ทำกิจกรรมท่ามกลางแสงแดด อย่าง น้อย 20 นาทีในตอนเช้า จะส่งผลให้ร่างกายผลิตสาร เมลาโทนิน ที่จะเปลี่ยนเป็นซีโรโทนิน ช่วยในเรื่องการนอนหลับพักผ่อนได้เต็มที่ในตอนกลางคืน
4. นวดตัว เป็น พลังจากการสัมผัส ซึ่งมีรายงานวิจัยโดย Touch Research Institute ของ Miami School of Medicine พบว่า การนวดตัวช่วยเพิ่มซีโรโทนิน ถึง 28% และลดสารคอร์ติโซน ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดได้ถึง 31%
5. ลดเครียดและจัดการอารมณ์ที่ทำให้เครียด เช่น ความกังวล ความโกรธ ความกลัว เพื่อช่วยเพิ่มระดับของซีโรโทนิน อาทิ การฝึกหายใจคลายเครียด
“ตราบ ใดที่ตัวเราสามารถให้ความรักแก่ตนเองและผู้อื่น ยอมรับตัวเราและผู้อื่น ยอมรับความเป็นจริงในปัจจุบัน สามารถชื่นชม ภาคภูมิใจ สิ่งที่เรามี และสิ่งที่ผู้อื่นมี มีความอ่อนโยน และเมตตาทั้งตัวเราและผู้อื่น มองโลกตามความเป็นจริง มองทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ มีแง่ดีงามอยู่เสมอ รวมทั้งมีอารมณ์ขันกับเรื่องรอบตัวบ้าง เราก็จะเป็นสุขได้เช่นกัน”
ข้อความที่ว่า ” อินเดีย ” มีขิงกับน้ำผึ้ง “ญี่ปุ่น” ใช้ร่มเป็นอาวุธลับ “สเปน” รักน้ำแครนเบอรี่ เป็นหนึ่งในข้อสรุปของจุดเด่นของเคล็ดลับความงามของผู้หญิงทั่วโลก ไม่ ว่าเป็นผู้หญิงมุมไหนในโลกล้วนแต่รักสวยรักงาม และต่างก็มีวิถีทางในการทำให้ตัวเองดูดีมีความงามอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่การพึ่งพามีดหมอ หรือสารเคมีใด ๆ อันเป็นการเติมความสวยทางลัด แต่ผู้หญิงทั่วโลกบ่มเพาะภูมิปัญญาในการสรรค์สร้างความงามเฉพาะตัวมานานเท่า นานจนต้องนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อผู้หญิงเราจะนำเคล็ดลับที่ดีนี้ไปใช้กับตัว เองได้
บทความนี้เป็นของคอลัมนิสต์ชื่อดัง “เคลลี เบเกอร์” ได้ แอบไปรวบรวมข้อมูลมาและนำมาเผยแพร่โดยอวดอ้างว่าเธอไปศึกษาเคล็ดความงามของ ผู้หญิงในมุมต่าง ๆ ของโลก ซึ่งทำให้คุณสาว ๆ ทั้งหลายได้อ่านบทความของเธอแล้วไม่จำเป็นต้องเดินทางเพื่อไปทดลองทำเคล็ด ลับความงามจากทุกมุมโลกเพราะคุณสามารถทำเองที่บ้านก็ได้
เคลลีระบุว่า “ โลก ทั้งใบเป็นของผู้หญิง พวกเธอสามารถสรรค์สร้างวิธีทำให้สวยด้วยมือของพวกเธอกันเอง ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณ เส้นผม ใบหน้า ซึ่งวัตถุดิบส่วนใหญ่ก็หาได้จากสวนหลังบ้าน หรือไม่ก็ต้นไม้ในท้องถิ่นต่าง ๆ นั่นเอง ”
เคลลี่กล่าวว่า ” โลชั่น หรือครีมมอยซ์เจอร์บำรุงผิวตามธรรมชาติของพวกผูหญิงไม่ต้องใช้เวลาเร่งรีบ แต่พวกเธอจะบ่มเพาะวิธีการทำครีมบำรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปตามกระบวนการของเธอ จนเป็นที่มาของความลับแห่งความงาม “และยกตัวอย่างจากการไปท่องเที่ยวรอบโลกเพื่อตามล่าหาเคล็ดลับความงามของสาว ๆ อาทิ
อินเดีย สาวที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขาหิมาลัยซึ่งมีอากาศหนาวเหน็บตลอดทั้งปี ผู้หญิงที่นี่จะใช้เวลาตอนเช้าพิถีพิถันกับเครื่องดื่มที่ทำให้พวกเธอดูอ่อน วัยได้อย่างเหลือเชื่อ นั่นคือ น้ำขิงมาผสมกับน้ำผึ้ง และใส่น้ำร้อนดื่มกินแทนน้ำเป็นประจำทุกวัน
ญี่ปุ่น สาวแดนอาทิตย์อุทัยแทบทุกคนจะเอาใจใส่ในการปกป้องผิวสีขาวดั่งนมชงไม่ให้ หมองคล้ำ ด้วยการแต่งกายหรือใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดแทนการใช้ครีมป้องกันแสงแดด และการอาบน้ำแร่ออนเซนผสมเปลือกส้มแมนดาริน นอกจากนั้นยังเสริมกำแพงมิให้แสงยูวีมีทำลายผิวพรรณด้วยการถือ “ร่ม” เป็นอาวุธประจำกายตลอดเวลาหากต้องอยู่ในกลางแจ้ง และนี่คือเคล็ดลับที่ทำให้ผิวของสาวญี่ปุ่นสดใสท้าทายกาลเวลา
ออสเตรเลีย สาวอะบอริจินหรือสาวพื้นเมือง มักจะพึ่งพารากไม้ที่เรียกว่า “yarrow” ทำครีมบำรุงผิวเพื่อช่วยป้องกันผิวพรรณมิให้เกิดริ้วรอยและยังช่วยเรื่องการสร้างความมีน้ำมีนวลให้แก่ผิวอีกด้วย
สาธารณรัฐโดมินิกัน พวกเธอมีเคล็ดลับทำให้เล็บงาม สดใส และแข็งแรง ตลอดเวลาจาก “กระเทียม” ซึ่ง ไม่ใช่นำมารับประทานเหมือนสูตรลับของประเทศอื่น ๆ แต่เธอฝานเป็นแว่นบาง ๆ แล้วนำมันมาถูกับเล็บสัปดาห์ละครั้ง เมื่อขึ้นสัปดาห์ใหม่พวกเธอจะบรรจงตัดเล็บให้สวยตามอำเภอใจ แล้วก็นำกระเทียมมาถู บ้างก็มาขยี้กับซอกเล็บ ซึ่งเธอบอกว่า เป็นการกำจัดแบคทีเรียใต้เล็บได้อย่างดีเยี่ยมด้วย
สเปน สาว สวยนัยน์ตาคมแดนวัวกระทิงนี้ พวกเธอมักจะมีผมที่สลวยสวยงามและสีแปลกตาตามธรรมชาติ ปรากฏว่าเคล็ดลับการไฮไลต์ผมของพวกเธอก็คือ การใช้น้ำ แครนเบอรี่นำไปหมักผมหลังจากที่สระผมด้วยแชมพูเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นน้ำมะนาวก็สามารถนำมาใช้ทดแทนได้ในกรณีนี้ได้หากขาดแคลนแครนเบอรี
เบลีซ เป็นชาติขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของอเมริกากลาง ริมทะเลแคริบเบียน มีอาณาเขตจรดประเทศเม็กซิโกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และจรดประเทศกัวเตมาลาทางทิศตะวันตกและทิศใต้ มีประเทศฮอนดูรัสเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงนั้น พวกเธอใช้ น้ำมันมะพร้าว ที่ เป็นเหมือนขุมทรัพย์มหาสมบัติที่สำคัญ ทำให้สาวเบลีซเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการใช้ประ ทิวผิวหน้า ป้องกันรอยตีนกา และแก้ปัญหาผิวแห้ง นอกจากนั้นใช้เป็นเครื่องป้องกันแสงแดดที่จะทำลายผิวด้วย
แม้ บทความนี้ไม่ได้บอกเคล็ดลับความงามเกี่ยวกับสาวไทยแต่สาวไทยอย่างเราก็มี ขมิ้นชันและสมุนไพรอีกหลายตัวที่ทั่วโลกให้การยอมรับถึงคุณค่าการสร้างความ งามแบบสปาของสาวเอเชียอย่างจริงแท้
ขอบคุณข้อมูลจาก KAPOOK
ดัดแปลงข้อมูลโดย Naturerich
รักษาพิษจากยาพาราเซตามอล
ใช้เบื้องต้นสำหรับ : มะเร็งบางชนิด โรคไขมันอุดตันที่ผนังหลอดเลือด (atherosclerosis) โรคเบาหวาน ปอดมีความผิดปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคปอดอุดกั้น สูญเสียการได้ยินเนื่องมาจากเสียง ผู้ชายที่เป็นหมัน ป้องกันหรือทำให้พิษดีขึ้น ต้านเชื้อไวรัส ยากำพร้าในการรักษาเอดส์ที่สัมพันธ์กับภาวะขาดสารอาหาร
โดย : นายแพทย์ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต
กลูต้าไธโอนเป็นพันธะเปปไทด์ของกรดอะมิโน 3 ตัว ได้แก่ ซีสเตอีน กลูตาเมต และไกลซีน กลูต้าไธโอนอยู่ในรูป reduced (GSH) และ oxidized (GSSG) โดย GSSG ถูก reduced ด้วย Glutathione reductase สาร ascorbic acid จะเพิ่มการออกฤทธิ์ของ GSH ซึ่ง alpha lipoic acid (ALA) เพิ่มการออกฤทธิ์ของกลูต้าไธโอนอาจกลับมาเป็น GSSG
แสดงให้เห็นเด่นชัดอย่างเฉียบพลันในการขาดกลูต้าไธโอนเมื่อรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด
ผลของการลดลงของกลูต้านี้เกิดใน hepatocyte ชักนำให้ตับวายและเสียชีวิตได้
การขาดกลูต้าไธโอนเรื้อรังมีความสัมพันธ์กับความผิดปกติทางภูมิคุ้มกัน เพิ่มการเกิดเนื้อร้าย และในกรณีโรคเอดส์ อาจเร่งให้เกิดโรคขึ้นมาได้
การขาดกลูต้าไธโอนเป็นผลใน tissue oxidative stress สามารถเกิดโรคได้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่เป็น G6PD (glucose 6-phosphate dehydrogenase deficiency) ทำให้เกิดปริมาณ NADPH และ reduced Glutathione ลดลง
Oxidative stress เป็นสาเหตุให้ขาดกลูต้าไธโอนใน fragile erythrocyte membranes
โดย : นายแพทย์ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต
กลูต้าไธโอนเป็นพันธะเปปไทด์ของกรดอะมิโน 3 ตัว ได้แก่ ซีสเตอีน กลูตาเมต และไกลซีน กลูต้าไธโอนอยู่ในรูป reduced (GSH) และ oxidized (GSSG) โดย GSSG ถูก reduced ด้วย Glutathione reductase สาร ascorbic acid จะเพิ่มการออกฤทธิ์ของ GSH ซึ่ง alpha lipoic acid (ALA) เพิ่มการออกฤทธิ์ของกลูต้าไธโอนอาจกลับมาเป็น GSSG
กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระภายในเซลล์พบมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ตับ (จนถึง 5 mM)
กลูต้าไธโอนถูกสังเคราะห์โดย Glutathione synthase โดยการใช้กรดอะมิโน 3 ชนิด : L-cysteine, L-glutamate และ glycine
ตามธรรมชาติมี 2 รูปแบบ ได้แก่ reduced Glutathione (GSH) และ oxidized Glutathione disulphide (GSSG)
อำนวยความสะดวกต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน
เป็นสาร mitochondrial antioxidant
เป็นสาร co-factor/ เอนไซม์ใน phase I enzymatic detoxification pathway
Phase II detoxification pathway
การป้องกันระบบประสาท
โดย : นายแพทย์ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต
กลูต้าไธโอนเป็นพันธะเปปไทด์ของกรดอะมิโน 3 ตัว ได้แก่ ซีสเตอีน กลูตาเมต และไกลซีน กลูต้าไธโอนอยู่ในรูป reduced (GSH) และ oxidized (GSSG) โดย GSSG ถูก reduced ด้วย Glutathione reductase สาร ascorbic acid จะเพิ่มการออกฤทธิ์ของ GSH ซึ่ง alpha lipoic acid (ALA) เพิ่มการออกฤทธิ์ของกลูต้าไธโอนอาจกลับมาเป็น GSSG